วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2563

สรุปวิจัย

เรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ B-R-A-I-N เพื่อส่งเสริมความสามารถทางการคิดวิจารณญาณของเด็กปฐมวัย
 ปริญญานิพนธ์ ของ กิตติศักดิ เกตุนุติ 

การวิจัยครั้งนี้ทําให้ได้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ B-R-A-I-N เพื่อส่งเสริมความสามารถทางการคิดวิจารณญาณของเด็กปฐมวัย ที่นํามาใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอนในชั้นเรียนและเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของครูที่จะนําไปใช้เพื่อส่งเสริมความสามารถทางการคิดวิจารณญาณของเด็กปฐมวัย 

ประชากรที่ใช้ในการวิจัย 

 1. ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัย โดยมีคุณสมบัติดังนี้  

     1.1 ครูปฐมวัยที่มีประสบการณ์ในการจัดการเรียนรู้สําหรับเด็กปฐมวัยเป็นเวลาไม่ น้อยกว่า 10 ปี 

     1.2 นักวิชาการด้านการศึกษาปฐมวัยที่มีประสบการณ์การทํางานกับเด็กปฐมวัย เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี

 2. เด็กปฐมวัยอายุ 5-6 ปี ที่กําลังเรียนชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนในสังกัดสํานักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555  

3. ครูปฐมวัยที่ปฏิบัติงานสอนในระดับชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนในสังกัดสํานักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 และสนใจนํารูปแบบ การจัดการเรียนรู้แบบ B-R-A-I-N ไปใช้ 

สรุปผลการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ สรุปผลการวิจัยได้ดังต่อไปนี้ 

1. การสร้างรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ B-R-A-I-N เพื่อส่งเสริมความสามารถ ทางการคิดวิจารณญาณของเด็กปฐมวัย รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ B-R-A-I-N ประกอบด้วย ความเป็นมาและ ความสําคัญ ทฤษฎีและแนวคิดพื้นฐาน หลักการ วัตถุประสงค์กลุ่มเป้ าหมาย เนื้อหา การจัด กระบวนการเรียนรู้ระยะเวลา บรรยากาศและสภาพแวดล้อม การประเมินผลการเรียนรู้และการนํา รูปแบบไปใช้เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีความสามารถ ทางการคิดวิจารณญาณ 6 ด้าน ได้แก่ การจํา การเข้าใจ การประยุกต์การวิเคราะห์ การประเมิน และการสังเคราะห์โดยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน คือ 

ขั้นที่ 1 ขั้นปลุกสมอง (Boosting = B) เป็นขั้นตอนที่เด็กเคลื่อนไหวร่างกาย ด้วยท่าบริหารสมอง (Brain Gym) โดยมีเสียงเพลงและเสียงดนตรีประกอบกิจกรรม เพื่อเป็นการ เตรียมความพร้อมของสมองก่อนเรียนรู้ กระตุ้นการส่งข้อมูลไปมาระหว่างสมองซีกซ้ายและขวา รวมทั้งเป็นการปรับคลื่นสมองเพื่อช่วยให้การทํางานของสมองทํางานประสานกันได้ดีเกิดสมาธิและ จดจ่อในการทํากิจกรรม 

ขั้นที่ 2 ขั้นระบุและเชื่อมโยง (Remarking and Relating = R) เป็นขั้นตอนที่ เด็กตั้งคําถามและระบุปญหาหรือประเด็นที่ต้องการ ั จะศึกษา และทบทวนเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมว่า หัวข้อหรือประเด็นที่จะเรียนรู้นั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องและ/หรือสําคัญกับตัวเด็กอย่างไร เป็นการ กระตุ้นความสนใจให้เด็กเกิดความต้องการเรียนรู้และเห็นคุณค่าของสิ่งที่จะได้เรียนรู้นั้นผ่าน กิจกรรมสังเกต สื่อและ/หรือ สถานการณ์โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า และถ่ายทอดออกมาด้วยการ อธิบายและ/หรือสร้างเป็นชิ้นงานทั้งเดี่ยวหรือกลุ่ม 

ขั้นที่ 3 ขั้นค้นหาคําตอบ (Acquiring = A) เป็นขั้นตอนที่เด็กประมวลภาพรวม ของข้อมูลต่างๆ โดยการวางแผนว่าเรื่องหรือประเด็นนั้นควรจะเรียนรู้ด้วยวิธีการใด และลงมือปฏิบัติ เพื่อแก้ไขปญหาหรือค้นหาคําตอบตามประเด็นที่ ั เด็กเลือก เป็นการส่งเสริมให้เด็กเกิดพฤติกรรม สํารวจสิ่งแวดล้อมและเกิดการเรียนรู้โดยการค้นพบ รวมทั้งให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์และทํางานร่วมกับคน อื่นๆ โดยผ่านกิจกรรมการค้นหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ได้แก่ การระดมสมอง การทัศนศึกษา การทดลอง การสัมภาษณ์ และการทํางานร่วมกับผู้อื่น  

ขั้นที่ 4 ขั้นสรุปผล (Inferring = I) เป็นขั้นตอนที่เด็กได้ทบทวนและไตร่ตรอง เกี่ยวกับสิ่งที่ได้จากการสืบค้นคําตอบ แล้วพิจารณาความรู้ที่ได้เพื่อประเมินว่าผลที่ได้ว่าน่าเชื่อถือ มี จุดดีหรือจุดที่ควรปรับปรุง โดยผ่านกิจกรรมการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 131  

ขั้นที่ 5 ขั้นนําเสนอผล (Notifying = N) เป็นขั้นตอนที่เด็กนําความรู้ที่ได้ ค้นพบมาดัดแปลงให้เกิดสิ่งใหม่ หรือวางแผน ออกแบบ และนําเสนอผลการศึกษาให้กับผู้อื่นได้รับรู้ ผ่านกิจกรรมการอธิบายผลงาน การเขียน การวาดภาพ การแสดงการทดลองในสิ่งที่เรียนรู้ และการ แสดงนิทรรศการ ท่ามกลางบรรยากาศที่สนุกสบายและพึงพอใจ การประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ B-R-A-I-N เพื่อ ส่งเสริมความสามารถทางการคิดวิจารณญาณของเด็กปฐมวัยโดยผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 คน ประเมินให้มี ค่าความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.46 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.18 

2. การทดสอบประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ B-R-A-I-N เพื่อ ส่งเสริมความสามารถทางการคิดวิจารณญาณของเด็กปฐมวัย ผู้วิจัยทดสอบประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ B-R-A-I-N โดยการนํา รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ B-R-A-I-N ไปใช้กับเด็กปฐมวัยกลุ่มทดลอง และนํารูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบปกติไปใช้กับเด็กปฐมวัยกลุ่มควบคุม จากนั้นนําค่าเฉลี่ยของคะแนน ความสามารถทางการคิดวิจารณญาณของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการทดลองของเด็กทั้งสองกลุ่ม มาเปรียบเทียบกัน ปรากฏผลดังนี้ 2.1 หลังการทดลองเด็กปฐมวัยกลุ่มทดลองมีความสามารถทางการคิดวิจารณญาณ เพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้งแยกเป็นรายด้านและภาพรวม แสดงว่ารูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบ B-R-A-I-N สามารถส่งเสริมความสามารถทางการคิดวิจารณญาณของเด็กปฐมวัย ได้ 2.2 หลังการทดลองเด็กปฐมวัยกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ มี ความสามารถทางการคิดวิจารณญาณในภาพรวม และด้านการประยุกต์เพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสําคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 ส่วนด้านการจํา การเข้าใจ การวิเคราะห์ การประเมิน และการสังเคราะห์หลังการ ทดลองไม่แตกต่างกับก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2.3 ก่อนการทดลองเด็กปฐมวัยกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีความสามารถทางการ คิดวิจารณญาณไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ .01 ทั้งแยกรายด้านและภาพรวม แสดง ว่าก่อนการทดลองเด็กทั้งสองกลุ่มมีความสามารถทางการคิดวิจารณญาณใกล้เคียงกัน 2.4 หลังการทดลองเด็กปฐมวัยกลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดประสบการณ์ตามรูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบ B-R-A-I-N มีความสามารถทางการคิดวิจารณญาณสูงกว่าเด็กปฐมวัยกลุ่ม ควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ .01 แสดงว่ารูปแบบการ จัดการเรียนรู้แบบ B-R-A-I-N มีประสิทธิผลในการส่งเสริมความสามารถทางการคิดวิจารณญาณ ของเด็กปฐมวัยได้สูงกว่าการจัดการเรียนรู้แบบปกติ 132 3. การขยายผลรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ B-R-A-I-N เพื่อส่งเสริมความสามารถ ทาง การคิดวิจารณญาณของเด็กปฐมวัย รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ B-R-A-I-N เพื่อส่งเสริมความสามารถทางการคิด วิจารณญาณสําหรับเด็กปฐมวัยตามความคิดเห็นของครูปฐมวัยที่ปฏิบัติงานสอนอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 4.00-4.71

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บันทึกการเรียนครั้งที่ 12

🌳การเรียนรู้ในวันนี้🌵 คาบเรียนนี้เป็นคาบเรียนสุดท้ายในการเรียนการสอนรายวิชานี้  งานที่อาจารย์มอบหมาย อาจารย์แจกกระดาษให้ทุกคนสรุปความรู้แล...